วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558

Magical Castle Combe

วันนี้ขอมาเล่าประสบการณ์การเยือนหมู่บ้าน Castle Combe ในอังกฤษนะคะ
บอกเล่าก่อนดีกว่าว่า แคสเซิลคอมบ์คืออะไร 
Castle Combe เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ย้ำว่า เล็กๆ ในเขต Wiltshire 
ซึ่งก็ไม่ใกล้ไม่ไกลกับลอนดอนมากค่ะ นั่งรสบัสแค่2-3 ชม ก็ถึงแล้ว (เหมือนจาก กทม ไประยองเลย55555) 

สำหรับทริปอังกฤษคราวนี้ตอนแรกไม่ได้หวังเลยว่าจะได้ออกนอกเมือง 
แต่พูดไปพูดมาคุณพี่สาวก็เหมือนจะมีใจอยากออกนอกเมืองไปหาแรงบันดาลใจเหมือนกัน 
เลยตกลงปลงใจกันว่าเราจะไป หมู่บ้าน Castle Combe และเมือง Bath กัน! 

เมื่อตัดสินใจได้ปุ๊ปก็ไม่รอช้า วัน Boxing Day หลังคริสต์มาส1วัน สองสาวก็ทำการตะลุยช็อปปิ้งหากระเป๋าแบ๊คแพ็คกันทั่ว สุดท้ายก็ได้มา1ใบในราคา 30ปอนด์ หรือประมาณ 1500 บาท 
พอถึงวันเดินทางก็จัดการยัดข้าวของลงกระเป๋า ทั้งเสื้อผ้าทั้งห่ออาหารนับว่าพร้อมลุย 
ออกจากบ้านตั้งแต่ 6โมงกว่า วิ่งแทบตายเกือบไม่ทันบัสจากบ้านไปสถานี 
สรุป! คุณพี่สาวดูเวลาผิด รถบัสมัน 9โมง ไม่ใช่ 8โมง ที่วิ่งมาหน้าซีดเมื่อกี้ก็หอบและหัวเราะกันไปตามระเบียบ 

พอถึงสถานีปุ๊ปก็เหลือเวลาอีกมากเลย ก็ไปหาร้านนั่งกันก่อนเพราะหนาวมากและก็หนีไม่พ้นน้องสตาร์บั๊คส์ฟรี wifi นั่นเอง จิบชาไปได้สักพักก็ต้องเริ่มออกเดินทาง 

เราขึ้นรถบัสที่สถานี Victoria เป็น Mega Bus ราคาน่ารักค่ะ 
และความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น...
ตลอดทั้งทางเหมือนสวรรค์เลยค่ะ พอออกนอกเมืองปุ๊ปตึกรางบ้านช่องก็หายไปเหลือแต่ถนนทางหลักและทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา แล้วคืออังกฤษเนี่ย แดดดีมากๆ ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงแดดจะเหมือนแดดตอนเช้าตลอด สดชื่นมากๆ ส่วนหลังเที่ยงไปแล้วแดดจะข้ามไปเหมือนตอน4 โมงเย็นเลยค่ะ อุ่นๆ สวยๆ ไม่มีแดดตอนเที่ยงร้อนตับแตกให้รู้สึกเหนื่อยเลย ประกอบไปกับทุ่งหญ้าข้างทางตอน9โมงเช้า เป็นอะไรที่สวรรค์มากจริงๆค่ะ 

และแล้วก็มาถึงแคสเซิลคอมบ์ ตอนแรกไม่คิดว่าจะเล็กขนาดนี้แต่พอไปถึงก็เริ่มคิดกับพี่แล้วว่า เราจะสามารถอยู่ที่นี่ยังไงได้ 2ชั่วโมง! เพราะกว่ารถจะมาอีกทีก็บ่าย! 

แต่ด้วยความสามารถพิเศษในการเดินร่อนก็อยู่ได้จริงๆค่ะ 55555555 
ก็เดินถ่ายรูปกันไปเรื่อย วันนั้นอากาศหนาวมากๆ ต้องสวมถุงมืออยู่ตลอด 
และนี่ก็เป็นรูปที่ได้มาค่ะ

เป็นหมู่บ้านเล็กๆน่ารักจริงๆ อังกฤษมากๆ

เจนเทิลแมนทั้งหลายทั้งจิบกาแฟกลางแดด

มีโรงแรมเล็กๆ

เดินไปตามถนนก็เจอแต่บ้านแบบนี้ค่ะ และส่วนมากเหมือนไม่มีคนอยู่เท่าไร

ประตูน่าร๊าก


อันนี้คือหน้าบ้านหลังหนึ่งค่ะ มีเค้กตั้งไว้เต็มเลย 
ติดราคาไว้แล้วอยากได้ชิ้นไหนหยิบเอาเลยและยอดเงินไว้ตรงช่องประตู





โรแมนติคมาก คิดถึงจัง

เดินไปตามถนนเจอแบบนี้ค่ะ 555555555

ปิดท้ายด้วยภาพนี้ 

หมู่บ้านเล็กๆแต่น่ารักแห่งนี้ เป็นที่ถ่ายภาพยนตร์เรื่อง War Horse ด้วยนะคะ หนังภาพสวยมากๆ น้องม้าน่ารัก ดูกี่รอบก็ซึ้ง

ในหมู่บ้านมีโบสถ์ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนอีกด้วย ข้างในมีโปสการ์ดขายด้วยค่ะ สามารถหยิบและยอดเงินเป็นการบริจาคกับโบสถ์ได้เลย นั่งเขียนในโบสถ์แล้วออกมายอดตู้หน้าโบสถ์ ส่งให้คนที่คุณรักได้ค่ะ 

ที่นี่หายใจสะดวกมาก เดินแล้วสบายใจ ภาพที่เห็นจากการมองก็ทำให้มีความสุขมากๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากไปอีกครั้ง 

ถ้าใครชอบ ศิลปะ ภูเขา ต้นไม้ ธรรมชาติ บ้านสวยๆ และความเป็นอังกฤษ ที่นี่เหมาะมากแก่การไปเยี่ยมเยียน

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

La Gelatiera LONDON

La Gelatiera LONDON

ร้านไอติมที่ขายเครื่องดื่มด้วย 
ขอรีวิว ณ บัดนี้ ฮ่าๆๆๆๆ

เพิ่งถึงอังกฤษเมื่อวันที่ 22 วัน 23 เราจึงออกเดินเท้า โดยให้คุณพี่สาวเป็นไกด์จำเป็นเพื่อนำทางไป 
วันนี้เดินกันจนหน้าแห้ง เพราะลมโกรกหน้าด้วยอุณหภูมิ 12 แบบเบาๆ แต่หนาวสั่นได้อยู่ 555555
ในระหว่างที่เดินหนาวๆ ก็คิดว่าถ้าได้จิบชาร้อนๆในร้านสวยๆสักหน่อยคงดีนะ 

จึงตัดสินใจแวะร้านนี้ และ... ไม่ได้สั่งชา(อ้าว) แต่สั่งเมนู special ของร้านช่วงนี้มาดื่มกัน 
นั่นก็คือ 
Caramel Latte !! 

โดนจัดไปแล้วครึ่งแก้ว

ขอบอกเลยว่า อร่อยมากกกกกกกกกก มากกกกกกกกกกก ไม่หวานเกินไป กลมกล่อมมาก และหอมสุดจะบรรยาย ค่าเสียหายก็ 3ปอนด์จ้า นิ่มๆ

หมดแล้วจ้า น้องหมีที่พกมาด้วยเป็นนายแบบที่ดีมากจ้า

อันนี้ป้ายหน้าร้าน

เข้ากับบรรยากาศคริสต์มาสมาก

เมนูทั้งหลายแหล่

มุมที่นั่งภายในร้าน

สรุป: ร้านดีมาก บรรยากาศดี โลเคชั่นดี อาหารดี ไอติมเค้าว่ากันว่าเด็ดแต่เราไม่ได้ลอง ถ้ามีโอกาสก็ลองเดินไปแวะๆ ดื่มด่ำกันนะจ๊ะ (นี่ไม่ได้ค่าจ้างนะ แต่เจ้าของร้านหล่อดีเลยโปรโมทให้ 55555)

ตามไปที่ Address: 27 New Row, London, Covent Garden WC2N 4LA

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Life in New York 4

ช่วงหลังๆที่อยู่นิวยอร์กก็มีแต่การใช้ชีวิตแบบนิวยอร์กเกอร์
ออกไปเรียน(บางครั้ง) นั่งซับเวย์(แทบทุกวัน) ซื้อของฝากเพื่อน(ก่อนจะกลับ)
มีพิเศษหน่อยก็วันชาติอเมริกาที่ไปดูพลุที่ Brooklyn Bridge แต่สิ่งที่ได้เห็นคือหัวคนนับร้อย เลยต้องวิ่งหาที่ดูใหม่วิ่งalong ไปกับชาวบ้าน(โครตมันส์)

ของฝากเพื่อนๆ

เสียดายไม่มีรูปวันชาติเลย เอากล้องไปแต่ถ่ายอะไรไม่ได้เลย แงงงง 

และแล้ววันสุดท้ายของการอยู่บ้านโฮสก็มาถึง บอกเลยว่าใจหายมาก
วันสุดท้ายไอด้าไม่อยู่ด้วย เพราะไอด้ากลับบ้านไปแล้วแต่ก็ทิ้งของฝากไว้ให้เราก่อนกลับเรียบร้อย
เราอยากกอดไอด้าแล้วบอกว่า ขอบคุณมากๆที่คอยดูแล ขอบคุณมากจริงๆ ที่ไม่เคยบ่นและคอยช่วยทุกอย่าง
มีครั้งนึง เอาจานไอด้าไปเวฟไส้กรอกหมูกิน(ไอด้าเป็นอิสลาม) ไอด้าก็ไม่เคยว่าเลยโทษแต่ว่าเป็นความผิดของตัวเอง บอกว่าให้เอาจารย์ไปไว้ข้างนอก ไม่เป็นไรๆ
แต่ตั้งแต่วันที่ไอด้าบอกให้เอาจานไปไว้ข้างนอก จนวันสุดท้ายที่ออกจากบ้านมันก็ยังอยู่ในกระถางต้นไม้หน้าบ้านเหมือนเดิม (นี่เราทำให้ไอด้าเสียทั้งจานและแก้ว! ขอโทษนะคะ)

วันสุดท้ายเราเตรียมเก็บของไว้เรียบร้อยตั้งแต่เช้าและไม่นานก็มีคนมากรดกริ่งเป็นคนที่ไม่คาดคิดเลย
เป็นนักเรียนใหม่มาจากบราซิล! เราก็คิดว่าต้องได้อยุ่ห้องเราแน่ๆ เลยต้องขนของออกมารอที่ห้องนั่งเล่น ปากก็ทักทายและแนะนำการเดินทางจากที่นี่ไปโรงเรียนไปแมนฮัตตัน นางก็ไม่ค่อยพูดเท่าไรแต่ก็เป็นมิตรดี

รูปห้องที่ถ่ายมาวันสุดท้ายที่อยู่(ทำหน้าต่างพังด้วยต้องเอาขวดน้ำยาซักผ้าไปค้ำ)

จากนั้นก็มีรถที่เราจองทางอินเตอร์เน็ตมารับเราไปที่โฮสเทลแห่งหนึ่งที่บรู๊คลิน เราไม่ได้กลับเลยเพราะยังอยากอยู่ต่ออีกหน่อย เลยจองโฮสเทลไว้ หน้าตาเป็นแบบนี้





สะอาดและดูดีมากมีเพื่อนร่วมห้องเป็นสาวเยอรมันสองคน แอฟริกาใต้หนึ่งคน(สวยมาก)

ย้ายมาวันแรกปุ๊ป เพื่อนชวนเที่ยวปั๊ป ไปตึก Top of the rock 
ตอนแรกว่าจะไป Empire state แต่ว่าถ้าไปเอมไพร์ก็จะไม่เห็นเอมไพร์ไง ก็เลยขึ้นท็อปออฟเดอะร็อคแืนเพื่อจะได้เห็นเอมไพร์เสตท 




วันนั้นมีคนมีถ่ายพรีเวดดิ้งด้วย น่ารักมาก

หลังจากวันที่ไปเที่ยว Top of the rock ก็เหลือเวลาอยู่ที่นิวยอร์กอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับไทย ช่วงเวลาที่เหลือนั้นส่วนมากใช้ไปกับการไปเที่ยวและซื้อของกับเจสซี่ พยายามเก็บช่วงเวลาที่เหลือให้มากที่สุด พยายามไปเดินเล่น เตร็ดเตร่บ่อยๆ 
 หลุมศพกลางเมืองที่ไปนั่งเล่นกัน

อีกหนึ่งภารกิจที่ต้องทำก่อนกลับไทยคือ ไปเอาของที่ไปรษณีย์ที่เพื่อนส่งมาให้ คือถึงนานแล้วแต่ไม่ได้ไปเอาสักทีสรุหคือไปเอาวันสุดท้ายและไม่ได้ใช้เลย เสียค่าส่งเปล่าจริงๆ 



วันนั้นเป็นวันที่ฟ้าครึ้มบรรยากาศดีมาก ไม่มีการเร่งรีบอะไรทั้งนั้น เปลี่ยนรถไฟถึงสองครั้งนั่งยาวๆไป คนบนรถไฟไม่ค่อยเยอะนัก มีคนเอาแมวขึ้นซับเวย์ด้วยเอาใส่กระเป๋าผ้าแล้วนั่งกอด น่ารักมาก 
ไปถึงก็ยื่นพาสปอร์ตเซ็นชื่อรับของจบ กลับโฮสเทลเอาของไปไว้แล้วไปแฮงค์เอาท์กับเจสซี่ต่อเป็นวันสุดท้าย จำได้ว่าไปซื้อขนมของฝากกันใน K-mart ด้วย 
แล้วเราก็ร่ำลากัน กอดกัน และพูดกันว่าถ้ากลับไทยแล้ว ไปนั่งกินสตาร์บั๊คกัน(อยู่นิวยอร์กกินบ่อยมากกกกกกกก เพราะสะดวก อร่อย พนักงานมารยาทดีและฟรี wi-fi) 

พอกลับโฮสเทลรอสักพักก็เช็คเอาท์ออก พนักงานทำหน้างงนิดๆ เพราะมันไม่ใช่เวลาเช็คเอท์ 
รถมารับจอดอยู่ข้างนอก ฝนตกเล็กน้อย ปรอยๆ ครึ้ม(ยังจำบรรยากาศได้อยู่เลย) 

และแล้วเราก็จากโฮสเทลไปสนามบิน เช็คอิน แล้วก็ขึ้นเครื่อง 

หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวอีโบล่าระบาด ประเด็นคือมันไปอเมริกาค่า แต่กูออกมาแล้วค่า ทันค่า 5555555

จากวันแรกที่อยู่จนวันสุดท้ายอะไรๆมันก็เปลี่ยนไปมากจริงๆ ยอมรับเลยว่าวันสุดท้ายอยากกลับไทยมากเพราะคิดถึงแม่ คิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อนๆ แต่พอเรากลับมาเท่านั้นแหละ
กลับคิดถึงนิวยอร์กสุดหัวใจ

ขอบคุณประสบการณ์ดีๆนะ ถ้ามีโอกาสจะกลับไปหา

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Guardians of the Galaxy: Awesome Mix, Vol. 1 - Full Soundtrack

Guardians of the Galaxy: Awesome Mix, Vol. 1 - Full Soundtrack


ฟังแล้วได้อารมณ์ความเก่าและเก๋า

อยากใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ แล้วเต้นแบบไม่อายใคร



สำหรับตั๋วหนังเอาไป 10/10

ไม่รู้จะหักอะไร ชอบหมดจริงๆ

ตอนแรกก็แอบมีกังวลว่ามาร์เวลจะเปิดตัวการ์เดี้ยน

ซึ่งเป็นหนังใหม่แบบแกะกล่องของมาร์เวล ไม่เคยอเวนเจอร์ที่มีภาคอื่นปูมาก่อน

ตอนแรกก็แอบหวั่นใจว่าจะหนุกไหม จะรอดไหม

สุดท้ายผลออกมาเกินคาด คนชอบเยอะมากๆ

เป็นหนังอวกาศล้ำโลกที่ให้อารมณ์ความเก๋า และความเก่า

มีเสน่ห์มากๆ และหนังสื่อถึงความสามัคคีและมิตรภาพอย่างชัดเจนมากๆ

ตัวละครรักกันดีมากๆ อารมณ์เหมือนมีกันอยู่แค่นี้ก็ต้องไปด้วยกันจนวันสุดท้าย



ปล. รักกรู๊ทมากเลยนะจ๊ะ


วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Life in New York 3

สรุปคือสาวญี่ปุ่นที่เปิดประตูให้เราเขาก็เป็นนักเรียนมาซัมเมอร์เหมือนกัน ชื่อ เมะกุมิ
ก็แสดงว่าโฮมสเตย์เรามีเด็กต่างชาติสองคน คือเรากับเมะกุมิ ในใจก็แอบคิดอ่ะนะว่าเออดีๆ จะได้มีเพื่อนคุย แต่เปล่าเลย เมะกุมิไม่คุยเลยจ้าาาา เงียบมาก เงียบได้อีก ไม่หือไม่อือ อยู่แต่บนห้องและก็ลงมาทำกับข้าวกินตอนเย็น 555555(หัวเราะประชดชีวิต) แล้ววันนั้นกว่าโฮสจะมาถึงบ้านเราก็ต้องนั่งรอเป็นชม เพราะโฮสไปชอปปิ้งของเซลอยู่ในห้างแถวนั้น

ละแวกบ้าน

โฮสเราเป็นคนอินโดเนเซียที่พูดภาษาอังกฤษเร็วมากฟังแทบไม่ทัน โฮสชื่อ ไอด้า เป็นคนที่ใจดีมาก เทคแคร์มากๆ กลัวเราอยู่ไม่สบายนู่นนี่ ซึ่งความจริงเราสบายมาก ห้องที่เราได้เป็นชั้นล่างเลยไม่ต้องขึ้นบันไดให้เมื่อยขา ห้องน่ารักและเตียงนุ่มมาก ทีวีเอชดีมี Nexflix ดูหนังสบาย(ถูกใจมากอ่า)




สิ่งแรกที่ได้กินตอนเข้าบ้านคือ มาม่าผัด!! for God's sake! นี่เจ้ยังไม่หลุดพ้นจากมาม่าอีกหรือ T^T
แต่ดีที่ว่ามาม่าที่ไอด้าทำให้อร่อยกว่ามาม่าต้มธรรมดาสิบเท่า เลยอิ่มหนำสำราญไป กินเสร็จเก็บของเสร็จโฮสก็พาเดินสำรวจแถวนั้น พาไปห้างที่อยู่แถวนั้น(ที่ไปช็อปมา) แถมแบ่งคูปองส่วนลดให้อีก น่ารักจริงๆ 555 แต่เราก็ไม่ได้ซื้อะไร ขากลับโฮสก็แนะนำว่าซับเวย์อยู่ตรงไหนอะไรยังไง เป็นอันว่าเรียบร้อยกลับบ้าน พักผ่อน เป็นวันที่เรานอนหลับสบายมาก ได้มีห้องส่วนตัวอยู่เป็นอะไรที่สบายที่สุดแล้วแหละ

 ทางไปห้าง (Queens center)

มาม่าผัดฝีมือไอด้า

วันต่อมาเป็นวันแรกที่ต้องไปโรงเรียนเพื่อเรียนคอร์สซัมเมอร์ที่เราลงไว้ ที่น่าประหลาดใจคือไอด้าเป็นคนพาไปโรงเรียนในวันแรก... คือความจริงเขาไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ เราไม่ได้มาแลกเปลี่ยนกับโครงการที่โฮสแฟมิลี่จะต้องดูแลดีเหมือนพ่อแม่อันนี้แค่คอร์สซัมเมอร์ที่เรามาลงและนี่ก็แค่โฮมสเตย์ที่พักอาศัยเท่านั้น แต่ซึ้งใจมากที่ไอด้าดูแลดีขนาดนี้ ไอด้าพานั่งรถบัส(ที่ไม่เคยคิดว่าจะนั่งเลยเพราะคิดว่ายากกว่าซับเวย์ ถุย!) ใช้เวลาเกือบ1ชั่วโมงก็ถึงโรงเรียน

โรงเรียนเราอยู่แถวๆดาวน์ทาวน์ของแมนฮัตตัน ซึ่งบ้านเราอยู่ควีนส์ คนละฟาก! คนละฝั่ง! คนละทิศ! ความไกลระดับแมกซ์! แต่ไม่เป็นไรเรามาเรียนนี่นะ ไม่มีปัญหาหรอก(คิดงี้ตอนแรก) ตอนเราเข้าไปในโรงเรียน บอกลาโฮสไรเรียบร้อยก็เจอ ผญ คนหนึ่งชื่อ คริตตี้ เธอพาเราไปสอบวัดระดับว่าควรเรียนเลเวลไหน เข้าไปในห้องสอบก็เจอคนแปลกหน้ามากมาย ก็แอบประหม่าเล็กน้อยและก็เจอคนไทยเต็มไปหมดเลย

แถวโรงเรียนตอนเย็น

ผลสอบวันนั้นออกมาว่า Advanced เลยได้ เทคคอร์สโทเฟลไปแบบเต็มๆ บวกกับ Conversation และ Pronunciation รู้ป่ะว่าอีความแอดวานซ์ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น คือเราเข้าไปเรียนโทเฟลก็กลายเป็นเด็กกากๆที่ไม่รู้อะไรเลย มันยากมากๆ แบบภาษาอังกฤษมหาลัยเป็นของเด็กเล่นไปเลย วิชาที่สนุกที่สุดคือ Pronunciation เป็นวิชาที่เหมือนดึงตัวเราออกมามากที่สุดและอาจารย์ก็สอนสนุกมากๆ อาจจะเป็นเพราะว่าเพื่อนในคลาสในน่ารักทุกคนด้วยแหละมั้งเลยยิ่งสนุกไปกันใหญ่

เล่าเรื่องโรงเรียนแล้วแอบรู้สึกผิด ตอนแรกเราก็ขยันไปเรียนอยู่หรอกนะ แต่ช่วงหลังๆนี่ ขี้เกียจมากมาย อารมณ์แบบ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว จัดกระเป๋าเรียบร้อยพร้อมออก หยุดอยู่หน้าประตูยืนนิ่งแปปนึง และ... กลับไปนอน(ไม่ควรทำตาม) ช่วงหลังขาดบ่อยมากๆ จนแอนเทนเดนซ์ต่ำกว่า 80% จนไม่ได้ ประกาศนียบัตร i'm sorry mom

เนื่องจากเป็นเด็ก here ไม่ยอมไปเรียน อรุณรัตน์ก็ใช้เวลาไปกับสิ่งอื่น เช่น นอน กิน ออกไปเที่ยว และมันก็มีความสุขมากๆ จากควีนส์หรือบรู๊คลินเข้าแมนฮัตตัน เป็นอารมณ์เหมือนอยู่บางนาแล้วไปสยาม อยู่รังสิตแล้วไปสยาม ตอนอยู่ไทยรู้สึกว่านานมากกับการเดินทางไปมา แต่ที่นิวยอร์กทำไมฉันถึงเข้าแมนฮัตตันได้แทบทุกวันโดยไม่เหนื่อยก็ไม่รู้ 555555 อาจเป็นเพราะซับเวย์ที่สะดวกสบายล่ะมั้งที่ทำให้การเดินทางน่าพิศมัยขึ้น นั่งอยู่ในซับเวย์แอร์เย็นๆ ใส่หูฟัง ฟังเพลง แบบนั่งยาวเข้าแมนฮัตตันประมาณ 30นาที มันมีความสุขจริงๆนะ


และแมนฮัตตันคือตัวดูดเงินชั้นดี เราใช้เงินเยอะมากๆ ตอนอยู่ที่นิวยอร์กทั้งๆที่ตอนอยู่ไทยไม่ใช่ขาช็อปเลย แต่พออยู่นิวย๊วกรู้สึกว่าทุกอย่างมันน่าซื้อไปหมด ของแบรนด์เนมหรือเครื่องสำอางคืที่นั่นขายถูกกว่าที่ไทยมาก ตอนขาไปนะคะอรุณรัตน์มีเครื่องสำอางค์น้อยมาก แต่พอขากลับเท่านั้นแหละ บึ้มๆ! อายแชโดวมาเต็ม มาสคาร่าที่ไม่เคยปัดก็ซื้อมา ลิปสติกก็มา อายไลน์เนอร์ก็มี กระแทขึ้น 10ระดับ การแต่งตัวก็แอบเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรากล้าแต่งตัวมากขึ้นเพราะ!

ที่นั่นคุณจะแต่งอะไรก็ได้มันดูธรรมดาไปหมด ที่นั่นคุณแต่งหน้าแรงๆก็ได้เพราะมันก็ปกติ นิวยอร์กเป็นเมืองที่เปิดความคิดและโลกของคุณได้ง่ายมากๆในช่วงเวลาสั้นๆ ที่นั่นคือความเท่าเทียมและเสรีภาพ คุณจะทำอะไรก็ได้ไม่มีใครว่าคุณ มันคือคำตอบของคำถามว่าทำไมคนที่นั่นถึงไม่ดูเงียบๆเหมือนคนไทยเลย ทำไมเขากล้าใส่หูฟังแล้วเต้นเหมือนไม่มีใครอยู่แบบนั้น ทำไมดูแรงจังคิดอะไรก็พูด

เพราะเขามีสิทธิ์ไง เขาถูกปลูกฝังมาแต่เด็กว่าทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ถ้าคุณคิดว่าสิ่งนี้ไม่ถูกคุณก็แย้งและเสนอความคิดของคุณไป เขาไม่ได้ใจร้ายหรอกค่ะ เขาแค่รู้สึกว่าเขามีสิทธิ์ทำทุกอย่าง ในขณะที่เรารู้สึกได้ไม่เท่าเขา มันเลยดู Aggressive ไปนิด แต่จริงๆแล้วไม่มีอะไรเลย (ฉันกลัวไปเองเหรอวะ5555) พออยู่ๆไปก็ชินไปเอง แล้วก็กลมกลืนไปกับเขาได้

คิดแล้วก็อยากกลับไปซะงั้น เง้อ

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Life in New York 2

ชีวิตการอยู่โฮสเทลก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะมันเป็นการที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วย
ใครก็ไม่รู้ที่เราไม่รู้จัก ก็กังวลกันไป เราจะต้องคุยกับเขาไหม ของจะหายไหม ถ้าเขาถามเราพูดกับเราเราจะรู้เรื่องไหม แต่เอาเข้าจริงๆ บอกเลยว่า แทบจะไม่มีใครคุยกันเลย ต่างคนต่างอยู่มาก ยกเว้นที่คนที่เค้ามาด้วยกันเป็นเพื่อนกันเขาก็เมาท์กันมันส์ไปและเรื่องของหายก็ไม่มีเลย(หรือเราเจอแต่คนดีๆก็ไม่รู้)
ต่างคนต่างเก็บของตัวเอง บางคนเก็บไม่ดีด้วยซ้ำ วางกระเป๋าทิ้งไว้มั่วซั่วบนเตียง โทรศัพท์มือถือก็ชาร์ตรวมๆกัน แต่ก็ไม่มีเรื่องของหายเลย

เนื่องจากว่าช็อคกับการซื้อของไปครั้งที่แล้วทำให้เรากลัวการเข้าร้านขายของหรือร้านอาหารไปโดยปริยายในระหว่างการอยู่โฮสเทลแต่เหมือนพระเจ้ายังเข้าข้างให้เจอร้านสะดวกซื้อแบบมีเครื่องคิดเงินแถวนั้น เข้าไปแต่ละทีเราก็จะไปซื้อครัวซองท์กับน้ำส้มขวดใหญ่ๆมาเก็บไว้หลายๆอัน สรุปคือก็กินแค่นั้นแหละทั้งอาทิตย์ เพราะเราไม่กล้าเข้าครัวในโฮสเทล บางทีก็อยากด่าตัวเองนะ ก็แค่เข้าครัวเองคนอื่นเขาก็เข้าไปทำอาหารกันเต็มเลย หอมฉุย แต่เราก็ไม่กล้าอยู่ดี เพิ่งมากล้าเอาตอนจะออกจากโฮสเทลนั่นแหละ! เริ่มซื้อมาม่ามาต้มกิน(อาหารไม่ดีจากเดิมเท่าไร) แล้วก็กินน้ำส้มเยอะมาก เยอะจนน้ำในร่างกายจะกลายเป็นน้ำส้ม 55555 ช่วงนั้นเลยน้ำหนักลงนิดหน่อย เพราะไม่ได้กินอาหารแบบดีๆและเป็นชิ้นเป็นอัน

และเหมือนพระเจ้าจะเห็นใจอีกครั้ง คือมีเพื่อนคนนึงมาซัมเมอร์ที่นิวยอร์กเหมือนกันเราเลยขอให้มันพาไปเที่ยวเพราะมันมาถึงก่อนเราน่าจะพอรู้เส้นทาง เรานัดกันที่ Penn Station ฝั่ง 7th Ave และคุณท่านก็พาเพื่อนมาด้วยอีกสองคน คือ พี่โอ๊ตกับเจสซี่ พี่โอ๊ตเป็นนักเรียนไทยที่เรียนจบแล้วมาเรียนภาษาที่นิวยอร์ก 6 เดือน ส่วนเจสซี่เป็นนักเรียนมหาลัยปีสองอายุเท่าๆเรา เป็นสาวเวียตนามที่เคยไปอยู่ลาว และชอบดูละครไทย พูดไทยไม่ค่อยชัด

วันนั้นเป็นวันที่สนุกที่สุดตั้งแต่มานิวยอร์ก เราไปเซนทรัลปาร์คนั่งคุยกันและไปต่อที่บรู๊คลินบริจ ถึงจะไม่ได้ขึ้นสะพาน(เพราะหาทางขึ้นไม่เจอ) แต่มันก็เป็นวันที่สนุกมาก ยืนถ่ายรูปตึกตอนกลางคืนก็คิดในใจ 'นิวยอร์กมันสวยว่ะ' และจากนั้นการอยู่นิวยอร์กมันก็น่าตื่นเต้นขึ้นมา

เซ็นทรัลปาร์ค

แสงสียามค่ำคืน

บรู๊คลินบริจ

จากครั้งเราก็ได้เพื่อนเพิ่มมา และคนสำคัญก็คือเจสซี่นั่นเอง! นางพาเรากิน พาเราเที่ยว พาเราซื้อของ ถ้าไม่มีเธอฉันคงแง่กอยู่แต่ในที่พักและนอนจนตูดบาน... ถ้าได้อ่านก็ขอให้รู้ว่าเราขอบคุณมากๆนะ รักแก อ่อ ใช่ เจสซี่อ่านภาษาไทยไม่ออก...

ไม่นานช่วงเวลาการอยู่โฮสเทลก็ผ่านไป เราอยู่โฮสเทลประมาณ1อาทิตย์เพื่อสำรวจที่ทางและการใช้ซับเวย์จากนั้นก็ย้ายออกไปโฮมสเตย์ที่โรงเรียนภาษาจัดให้ ตอนที่จะออกจากโฮสเทลก็เศร้านิดหน่อยเพราะว่าเริ่มชินแล้วอ่ะ เริ่มใช้ครัว เริ่มแช่ของในตู้เย็น ผูกมิตรกับแมวในโฮสเทลแล้วด้วย แจสเปอร์ คิดถึงแก!

แจสเปอร์ แมวที่อ้วนและเหม็นแต่น่ารัก

วันแรกที่เข้าโฮมสเตย์ มีรถมารับเราที่โฮสเทลไปส่งถึงที่ มันตื่นเต้นมากๆที่จะได้อยู่กับครอบครัวที่พูดภาษาอังกฤษจริงๆแล้ว เพราะเราฝันมาตลอดว่าอยากฝึกภาษากับโฮสนะ นู่นนี่นี่นั่น แต่พอไปถึงปุ๊ปเราไม่ได้เจอโฮส เจอแต่บ้านที่ล็อคไว้และเคาะกี่ครั้งก็ไม่มีใครมาเปิดให้เรา คุณน้าที่ขับรถมาส่งเราก็พยายามบีบแตรช่วยแต่ก็ยังไม่มีใครมาเปิด เคาะประตูจนเจ็บข้อนิ้ว กดกริ่งจนมือจะหัก เกือบถอดใจแล้วแต่พักนึงก็มีคนออกมา เป็นสาวญี่ปุ่นที่มองหน้าเราแบบงงๆ

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

NYC Subway

Subway เป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ยิ่งใหญ่และสะดวกมากในนิวยอร์ก ไม่แพงเท่ารถบัส และถูกกว่าแท็กซี่อย่างมหาศาล จึงเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับชาวนิวยอร์ก
ซึ่งในการจะขึ้นซับเวย์ทุกคนจะจ้องซื้อบัตรแล้ว Swipe ผ่านเข้าไป
ซับเวย์ที่นี่เที่ยวละ 2.50$(กรณีใช้บัตรMetrocard แบบเติมได้ไม่ใช่ single ride) ย้ำ! เที่ยวละ 2.50$ จะไปไกลแค่ไหนจ่ายราคาเดียว 2.50$ นะจ๊ะ ไม่เหมือนบ้านเราที่ต้องดูเป็นสถานีๆไป

Single-ride คือซื้อรอบเดียวใช้แล้วทิ้ง 2.75$

บัตร Metrocard ราคา 1$ (ซื้อจากตู้เลย) ใช้ได้หลายรอบโดยการเติมเงินเอา(เที่ยวละ 2.50$ นั่นเอง)
ซึ่งสะดวกมากเพราะซื้อรอบแรกก็ใช้ได้นานเลย

Metrocard หน้าตาเป็นแบบนี้

ด้านหน้า

ด้านหลัง

วิธีการซื้อบัตรซับเวย์(Metrocard) 



ในคลิปจะมีการซื้อทั้งแบบ Regular และแบบ Unlimited ซึ่งแบบอันลิมิเต็ดเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนเดินทางด้วยซับเวย์บ่อยๆ มีแบบ 
1วัน 7วัน 14วัน 30วัน 7วันแบบมี Express Bus pass
แต่ถ้าเกิดอยากใช้ธรรมดา ไม่ได้ขึ้นบ่อยอะไรก็ซื้อแบบ Regular ไป

ถ้าเกิดมีบัตรแล้วอยากเติมเงิน
1.จิ้ม Start 
2.เลือกภาษา
3.จิ้ม Metrocard
4.จิ้ม Refill your card 
5.จากนั้นจะมีจำนวนมาให้เลือกแต่ถ้าไม่อยากได้ตามจำนวนนั้นๆก็จิ้มที่ other amounts แล้วใส่จำนวนที่ต้องการได้เลย 
6.เลือกวิธีที่ต้องการจ่ายเงิน Cash, ATM Card หรือ Credit Card 
*ในที่นี้จะขอใส่รายละเอียดของการจ่ายด้วยเงินสดนะคะ*
7.จิ้ม Cash
*ตู้รับแบงค์ 1$ 5$ 10$ 20$ 50$* แต่เดี๋ยวววว!!! ส่วนมากนะคะ ตู้ไม่ค่อยมีตังทอนหรอกถ้าสอดพวกแบงค์ 20$ 50$ เพราะเป็นแบงค์ใหญ่ ฉะนั้นหาใช้แบงค์เล็กๆเข้าไว้ค่ะ 
*ตู้รับเหรียญ 1$ 5Cent 10Cent 25Cent*
8.สอดแบงค์ หรือยอดเหรียญตามจำนวน 
9.รับ Metrocard และเงินทอน 
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Metrocard >> http://web.mta.info/metrocard/

จากนั้นพอได้บัตรมาเราก็ทำการ Swipe และผ่านเข้าไปเลย บางครั้ง Swipe ครั้งเดียวจะไม่ผ่านหน้าจอตรงเครื่องจะบอกว่าให้Swipe อีกรอบไม่ต้องตกใจ Swipe อีกรอบโลด ถ้าผ่านหน้าจอตรงเครื่องจะขึ้นจำนวนเงินที่เหลืออยู่ในบัตรให้เราดู

พอผ่านเข้ามาคราวนี้ก็หาสายไปให้ถูกก็เป็นพอ
นี่คือ Subway Map ของ NYC แนะนำว่าควรเซฟเก็บไว้ เพราะสำคัญมากๆ
หรือเข้าไปโหลดแอพ NYC Subway เก็บไว้ก็ได้ค่ะ ช่วยได้มากเลยแอพนี้

ภาพจาก Google

ซับเวย์ที่นี่จะมี Uptown กับ Downtown (ส่วนมากนะคะถ้าขึ้นจาก Manhattan) 
Uptown คือ สายที่ขึ้นข้างบน
Downtown คือสายที่ลงข้างล่าง 
เพราะฉะนั้น Trick คือ ให้ดูว่าเราอยู่สถานีไหน แล้วสถานีที่เราจะไปอยู่ข้างบนหรือข้างล่างเรา 
ถ้าอยู่ข้างบนไปฝั่ง Uptown อยู่ข้างล่างก็ไปฝั่ง Downtown ค่ะ 

ทีนี้พอเรามาถึงแพลตฟอร์มแล้ว เช็คความถูกต้องโดยการดูป้ายที่แขวนไว้ตรงแพลตฟอร์มที่เรายืน มันจะเขียนบอกสถานีปลายทาง หรือเขตที่เราจะเข้าไป 
สิ่งที่ควรระวังต่อไปคือนั่งรถไฟให้ถูกขบวน!
ศึกษามาก่อนว่าเราจะนั่งรถไฟสายอะไรไป แล้วขึ้นให้ถูกเพราะแพลตฟอร์มนึงอาจมีหลายสายที่จอด
ไม่ต้องรีบร้อนขึ้น อารมณ์แบบขบวนไหนมาก็ขึ้นเลย แบบนั้นอาจจะเงิบเอาได้ 55555 

นอกจากนี้เมื่อขึ้นมาบนรถไฟแล้วก็สังเกตดูว่าเป็นรถไฟเก่าหรือใหม่ ถ้าเป็นรถไฟใหม่ก็ดีหน่อยตรงที่ว่าไฟสว่าง มีป้ายบอกสถานีแบบชัดเจนมากๆ มีคนประกาศให้ฟังทุกสถานี ฟังง่ายหน่อยเพราะเป็นเสียงบันทึกไว้แต่บางครั้งก็มีคนพูดสดเหมือนกัน(ฟังยากมาก) 
แต่ถ้าเป็นรถไฟเก่าก็อาจจะมีคนประกาศหรือไม่มีก็ได้ฟังดีๆ ถ้าไม่มีให้ฟังก็หมั่นมองออกไปข้างนอกจะเห็นป้ายแต่ละสถานีที่จอดว่าถึงสถานีไหนแล้ว

เพิ่มเติม 
ที่นิวยอร์กไม่เรียกซับเวย์เป็นสถานีเหมือนบ้านเรา คือไม่เรียกเป็น Station แต่เรียกเป็น Stop 
ส่วนมากจะประกาศว่า This is ... bound ... train the next stop is .... 
ยกตัวอย่าง This is Manhattan bound R train the next stop is Lexington Avenue 59st 
ขยายความคือ รถไฟขบวนนี้ เป็นสาย R เข้าแมนฮัตตัน สถานีต่อไปคือ Lexington Avenue 59st 
หรืออาจจะเป็น This is uptown bound E train the next stop is 34st Penn Station 
ขยายความคือ รถไฟขบวนนี้เป็นสาย E ขึ้น Uptown สถานีต่อไปคือ 34st Penn Station 
เนื้อหาอื่นนอกจากนี้ในประกาศก็จะมี สายที่เราสามารถต่อได้จากสถานีนี้โดยที่ไม่ต้องเสียเงิน Swipe การ์ดเข้าไปใหม่ค่ะ