วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Life in New York 3

สรุปคือสาวญี่ปุ่นที่เปิดประตูให้เราเขาก็เป็นนักเรียนมาซัมเมอร์เหมือนกัน ชื่อ เมะกุมิ
ก็แสดงว่าโฮมสเตย์เรามีเด็กต่างชาติสองคน คือเรากับเมะกุมิ ในใจก็แอบคิดอ่ะนะว่าเออดีๆ จะได้มีเพื่อนคุย แต่เปล่าเลย เมะกุมิไม่คุยเลยจ้าาาา เงียบมาก เงียบได้อีก ไม่หือไม่อือ อยู่แต่บนห้องและก็ลงมาทำกับข้าวกินตอนเย็น 555555(หัวเราะประชดชีวิต) แล้ววันนั้นกว่าโฮสจะมาถึงบ้านเราก็ต้องนั่งรอเป็นชม เพราะโฮสไปชอปปิ้งของเซลอยู่ในห้างแถวนั้น

ละแวกบ้าน

โฮสเราเป็นคนอินโดเนเซียที่พูดภาษาอังกฤษเร็วมากฟังแทบไม่ทัน โฮสชื่อ ไอด้า เป็นคนที่ใจดีมาก เทคแคร์มากๆ กลัวเราอยู่ไม่สบายนู่นนี่ ซึ่งความจริงเราสบายมาก ห้องที่เราได้เป็นชั้นล่างเลยไม่ต้องขึ้นบันไดให้เมื่อยขา ห้องน่ารักและเตียงนุ่มมาก ทีวีเอชดีมี Nexflix ดูหนังสบาย(ถูกใจมากอ่า)




สิ่งแรกที่ได้กินตอนเข้าบ้านคือ มาม่าผัด!! for God's sake! นี่เจ้ยังไม่หลุดพ้นจากมาม่าอีกหรือ T^T
แต่ดีที่ว่ามาม่าที่ไอด้าทำให้อร่อยกว่ามาม่าต้มธรรมดาสิบเท่า เลยอิ่มหนำสำราญไป กินเสร็จเก็บของเสร็จโฮสก็พาเดินสำรวจแถวนั้น พาไปห้างที่อยู่แถวนั้น(ที่ไปช็อปมา) แถมแบ่งคูปองส่วนลดให้อีก น่ารักจริงๆ 555 แต่เราก็ไม่ได้ซื้อะไร ขากลับโฮสก็แนะนำว่าซับเวย์อยู่ตรงไหนอะไรยังไง เป็นอันว่าเรียบร้อยกลับบ้าน พักผ่อน เป็นวันที่เรานอนหลับสบายมาก ได้มีห้องส่วนตัวอยู่เป็นอะไรที่สบายที่สุดแล้วแหละ

 ทางไปห้าง (Queens center)

มาม่าผัดฝีมือไอด้า

วันต่อมาเป็นวันแรกที่ต้องไปโรงเรียนเพื่อเรียนคอร์สซัมเมอร์ที่เราลงไว้ ที่น่าประหลาดใจคือไอด้าเป็นคนพาไปโรงเรียนในวันแรก... คือความจริงเขาไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ เราไม่ได้มาแลกเปลี่ยนกับโครงการที่โฮสแฟมิลี่จะต้องดูแลดีเหมือนพ่อแม่อันนี้แค่คอร์สซัมเมอร์ที่เรามาลงและนี่ก็แค่โฮมสเตย์ที่พักอาศัยเท่านั้น แต่ซึ้งใจมากที่ไอด้าดูแลดีขนาดนี้ ไอด้าพานั่งรถบัส(ที่ไม่เคยคิดว่าจะนั่งเลยเพราะคิดว่ายากกว่าซับเวย์ ถุย!) ใช้เวลาเกือบ1ชั่วโมงก็ถึงโรงเรียน

โรงเรียนเราอยู่แถวๆดาวน์ทาวน์ของแมนฮัตตัน ซึ่งบ้านเราอยู่ควีนส์ คนละฟาก! คนละฝั่ง! คนละทิศ! ความไกลระดับแมกซ์! แต่ไม่เป็นไรเรามาเรียนนี่นะ ไม่มีปัญหาหรอก(คิดงี้ตอนแรก) ตอนเราเข้าไปในโรงเรียน บอกลาโฮสไรเรียบร้อยก็เจอ ผญ คนหนึ่งชื่อ คริตตี้ เธอพาเราไปสอบวัดระดับว่าควรเรียนเลเวลไหน เข้าไปในห้องสอบก็เจอคนแปลกหน้ามากมาย ก็แอบประหม่าเล็กน้อยและก็เจอคนไทยเต็มไปหมดเลย

แถวโรงเรียนตอนเย็น

ผลสอบวันนั้นออกมาว่า Advanced เลยได้ เทคคอร์สโทเฟลไปแบบเต็มๆ บวกกับ Conversation และ Pronunciation รู้ป่ะว่าอีความแอดวานซ์ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น คือเราเข้าไปเรียนโทเฟลก็กลายเป็นเด็กกากๆที่ไม่รู้อะไรเลย มันยากมากๆ แบบภาษาอังกฤษมหาลัยเป็นของเด็กเล่นไปเลย วิชาที่สนุกที่สุดคือ Pronunciation เป็นวิชาที่เหมือนดึงตัวเราออกมามากที่สุดและอาจารย์ก็สอนสนุกมากๆ อาจจะเป็นเพราะว่าเพื่อนในคลาสในน่ารักทุกคนด้วยแหละมั้งเลยยิ่งสนุกไปกันใหญ่

เล่าเรื่องโรงเรียนแล้วแอบรู้สึกผิด ตอนแรกเราก็ขยันไปเรียนอยู่หรอกนะ แต่ช่วงหลังๆนี่ ขี้เกียจมากมาย อารมณ์แบบ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว จัดกระเป๋าเรียบร้อยพร้อมออก หยุดอยู่หน้าประตูยืนนิ่งแปปนึง และ... กลับไปนอน(ไม่ควรทำตาม) ช่วงหลังขาดบ่อยมากๆ จนแอนเทนเดนซ์ต่ำกว่า 80% จนไม่ได้ ประกาศนียบัตร i'm sorry mom

เนื่องจากเป็นเด็ก here ไม่ยอมไปเรียน อรุณรัตน์ก็ใช้เวลาไปกับสิ่งอื่น เช่น นอน กิน ออกไปเที่ยว และมันก็มีความสุขมากๆ จากควีนส์หรือบรู๊คลินเข้าแมนฮัตตัน เป็นอารมณ์เหมือนอยู่บางนาแล้วไปสยาม อยู่รังสิตแล้วไปสยาม ตอนอยู่ไทยรู้สึกว่านานมากกับการเดินทางไปมา แต่ที่นิวยอร์กทำไมฉันถึงเข้าแมนฮัตตันได้แทบทุกวันโดยไม่เหนื่อยก็ไม่รู้ 555555 อาจเป็นเพราะซับเวย์ที่สะดวกสบายล่ะมั้งที่ทำให้การเดินทางน่าพิศมัยขึ้น นั่งอยู่ในซับเวย์แอร์เย็นๆ ใส่หูฟัง ฟังเพลง แบบนั่งยาวเข้าแมนฮัตตันประมาณ 30นาที มันมีความสุขจริงๆนะ


และแมนฮัตตันคือตัวดูดเงินชั้นดี เราใช้เงินเยอะมากๆ ตอนอยู่ที่นิวยอร์กทั้งๆที่ตอนอยู่ไทยไม่ใช่ขาช็อปเลย แต่พออยู่นิวย๊วกรู้สึกว่าทุกอย่างมันน่าซื้อไปหมด ของแบรนด์เนมหรือเครื่องสำอางคืที่นั่นขายถูกกว่าที่ไทยมาก ตอนขาไปนะคะอรุณรัตน์มีเครื่องสำอางค์น้อยมาก แต่พอขากลับเท่านั้นแหละ บึ้มๆ! อายแชโดวมาเต็ม มาสคาร่าที่ไม่เคยปัดก็ซื้อมา ลิปสติกก็มา อายไลน์เนอร์ก็มี กระแทขึ้น 10ระดับ การแต่งตัวก็แอบเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรากล้าแต่งตัวมากขึ้นเพราะ!

ที่นั่นคุณจะแต่งอะไรก็ได้มันดูธรรมดาไปหมด ที่นั่นคุณแต่งหน้าแรงๆก็ได้เพราะมันก็ปกติ นิวยอร์กเป็นเมืองที่เปิดความคิดและโลกของคุณได้ง่ายมากๆในช่วงเวลาสั้นๆ ที่นั่นคือความเท่าเทียมและเสรีภาพ คุณจะทำอะไรก็ได้ไม่มีใครว่าคุณ มันคือคำตอบของคำถามว่าทำไมคนที่นั่นถึงไม่ดูเงียบๆเหมือนคนไทยเลย ทำไมเขากล้าใส่หูฟังแล้วเต้นเหมือนไม่มีใครอยู่แบบนั้น ทำไมดูแรงจังคิดอะไรก็พูด

เพราะเขามีสิทธิ์ไง เขาถูกปลูกฝังมาแต่เด็กว่าทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ถ้าคุณคิดว่าสิ่งนี้ไม่ถูกคุณก็แย้งและเสนอความคิดของคุณไป เขาไม่ได้ใจร้ายหรอกค่ะ เขาแค่รู้สึกว่าเขามีสิทธิ์ทำทุกอย่าง ในขณะที่เรารู้สึกได้ไม่เท่าเขา มันเลยดู Aggressive ไปนิด แต่จริงๆแล้วไม่มีอะไรเลย (ฉันกลัวไปเองเหรอวะ5555) พออยู่ๆไปก็ชินไปเอง แล้วก็กลมกลืนไปกับเขาได้

คิดแล้วก็อยากกลับไปซะงั้น เง้อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น